แชมป์เก่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านสอนบอล “แชมป์ใหม่” ลิเวอร์พูลไปแบบไม่ไหวหน้า
เควิน เดอบรอยน์ ซัดสุดโทษให้ทีมออกนำก่อน ต่อมาสเตอร์ลิ่งและโฟเดนทำกันคนละประตู และประตูสุดท้ายทีมเยือนลิเวอร์พูลทำเข้าประตูตัวเอง
จากจังหวะที่สเตอร์ลิ่งล็อคบอลแต่งเข้าขวาและยิง จังหวะสุดท้ายบอลไปโดนแชมเบอร์เลน เข้าประตูตัวเองไป
ไม่มีอะไรจะสมบูรณ์แบบไปกว่านี้อีกแล้ว
เกิดอะไรขึ้นบ้าง?
ก่อนเริ่มเกมผู้เล่น แมนซิตี้ ยืนตั้งแถวบริเวณทางเดินลงสนามพร้อมกับปรบมือเพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้เล่นลิเวอร์พูลในฐานะแชมป์ลีกสูงสุดซีซั่นนี้ที่การันตีไปก่อนหน้านี้แล้ว
ผ่านมาถึงนาทีที่ 10 เควิน เดอ บรอยน์ ได้โอกาสกระชากบอลก่อนหวดเต็มข้อในกรอบเขตโทษลิเวอร์พูล แต่ดันไปติดบล็อกของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ยืนอยู่ถูกที่ถูกเวลา
นาทีที่ 14 แมนซิตี้ทำเสียวจากการเปิดบอลของ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ทางฝั่งซ้ายพุ่งเลยผ่านแผงหลังหงส์แดงไปทางเสาไกลมี ฟิล โฟเด้น ที่พยายามล้มตัวแหย่เท้าแต่ไม่ถึงส่งผลให้บอลหลุดออกหลังไป
นาทีที่ 19 ลิเวอร์พูล หวิดได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะสวนกลับไว ฟีร์มิโน่ หักข้อส่งบอลให้ ซาลาห์ พาบอลกระชากตัดเข้าในบริเวณกรอบเขตโทษก่อนกดด้วยเท้าซ้ายเต็มข้อบอลพุ่งแรงผ่านมือ เอแดร์ซอน ไปชนเสาอย่างจังแต่ยังไหลไปเข้าทาง มาเน่ ที่ตามมาเก็บบอลแต่เจ้าตัวดันจับไม่ดีบอลหลุดออกเส้นหลังไปอย่งน่าเสียดาย
“ทัพเรือใบสีฟ้า” ขึ้นนำ 1-0 นาทีที่ 25 เมื่อได้ลูกจุดโทษจากจังหวะที่ ราฮีม สเตอร์ลิง ใช้ความสามารถเฉพาะตัวบังบอลพาเข้าไปในกรอบเขตโทษทีมเยือนก่อนถูก โจ โกเมซ ดึงล้มลง แอนโธนี่ เทย์เลอร์ ผู้ตัดสินนัดนี้ไม่รอช้าเป่าฟาวล์แถมให้ใบเหลืองกับ โจ โกเมซ อีกด้วย และเป็น เควิน เดอ บรอยน์ รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่เหลือซาก
นาทีที่ 33 เอแดร์ซอน โมราเอส นายด่านแมนซิตี้โชว์การอ่านเกมด้วยการวิ่งออกมาตัดบอลนอกกรอบเขตโทษทางฝั่งซ้ายก่อนที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะถึงบอลแล้วมีโอกาสหลุดเข้าไปยิงประตู
นาทีที่ 35 แมนซิตี้นำห่างเป็น 2-0 จากจังหวะไหลบอลแบบงามหยดของ ฟิล โฟเด้น บริเวณกลางกรอบเขตโทษไปให้ ราฮีม สเตอร์ลิง หลุดขึ้นไปแต่งบอลเข้าเท้าขวาก่อนจิ้มผ่านตัว อลิสซอน เบ็คเกอร์ เข้าไปกองก้นตาข่าย
เกมรุกของซิตี้ยังคงดุดันแถมฉีกแนวรับทัพหงส์แดงแบบขาดกระจุย นาทีที่ 45+1 ทำประตูทิ้งห่างเป็น 3-0 จากจังหวะทำชิ่งของ ฟิล โฟเด้น ที่พลิกตัวส่งให้ เดอ บรอยน์ ก่อน โฟเด้น วิ่งไปรับบอลอีกครั้งแล้วกระชากเข้าไปซัดผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ทำเอาตาข่ายสั่นสะเทือน
จบครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ โชว์ฟอร์มเกินคาดเปิดบ้านนำ ลิเวอร์พูล 3-1
มาลุ้นต่อครึ่งเวลาหลัง ลิเวอร์พูลปรับแผนโดนส่ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ลงเล่นแทน โจ โกเมซ
กาเบรียล เชซุส เกือบบวกสกอร์เพิ่มให้แมนซิตี้ได้จากความผิดพลาดของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่จะทุ่มให้เพื่อนร่วมทีมแต่ไม่ถึงเลยถูก เชซุส ใช้ความเร็วตัดบอลกระชากจี้เข้าหาเขตโทษก่อนตัดสินใจแปเล่นทางแต่ไม่ดีพอบอลไหลเข้ามือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ รับเข้ามือ
ผ่านมาถึงนาทีที่ 66 แมนซิตี้ ไม่ยอมผ่อนเกมได้ประตูนำขาด 4-0 เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายบอลตัดแนวรับหงส์แดงให้ สเตอร์ลิง หลุดเข้าไปหักหลอกหนึ่งจังหวะก่อนซัดด้วยเท้าซ้ายผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ บอลทำท่าจะไม่ตรงกรอบแต่กลับไปถูกขา อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่พยายามยื่นมาสกัดเปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเอง
นาทีที่ 76 ลิเวอร์พูล ได้โอกาสลุ้นประตูจาก ซาลาห์ ที่ปั่นโค้งด้วยเท้าซ้ายนอกกรอบเขตโทษแต่น้ำหนักดูเหมือนจะเบาเกินไปทำให้ เอแดร์ซอน กระโดดรับไว้ไร้ปัญหา
ช่วงทดเวลานาทีที่ 90+4 แมนซิตี้ เกือบได้ประตูที่ 5 เมื่อ ริยาด มาห์เรซ หลุดเดี่ยวเข้าไปซัดประตูผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เข้าไปแต่เมื่อย้อนดูวีเออาร์แล้วเกิดการแฮนด์บอลก่อนในจังหวะที่ มาห์เรซ จะหลุดเดี่ยวจึงทำให้ไม่ได้ประตู จบเกม แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านถล่มลิเวอร์พูล ยับเยิน 4-0
โฟเดน และเดอบรอยน์ สุดเพอร์เฟกต์
ทั้งสองผู้เล่นถือเป็นคีย์แมนคนสำคัญในเกมนี้กับการเล่นร่วมกันอย่างรู้ใจในทุกๆจังหวะ
โฟเดนได้ยกระดับการเล่นของเขาขึ้นในทุกๆครั้งที่ได้ลงสนาม เช่นเดียวกันแมตซ์นี้ เขาทำประตูกับยอดผู้รักษาประตูอย่าง อลิซอน ได้สำเร็จ
เดอบรอยน์ก็อยู่ในทุกหนทุกแห่งทั่วสนาม และมีส่วนกับทุกประตูของทีมแบบชัดเจน
นี่คือคีย์แมนสำคัญสำหรับทีมของกวาดิโอล่าในฤดูกาลหน้าอย่างแน่นอน
ไลน์-อัพ :
แมนฯ ซิตี้ : เอแดร์ซอน โมราเอส - ไคล์ วอล์คเกอร์ ( ชูเอา คันเชโล่ น.73), นิโกลัส โอตาเมนดี้, เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ (์นิโกลัส โอตาเมนดี้ น.79), เอริค การ์เซีย - อิลคาย กุนโดกัน, โรดรี้ - เควิน เดอ บรอยน์, ฟิล โฟเด้น, ราฮีม สเตอร์ลิง (แบร์นาร์โด้ ซิลวา น.79) - กาเบรียล เชซุส (ริยาด มาห์เรซ น.58)
ลิเวอร์พูล : อลิสซอน เบ็คเกอร์ - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (เนโก วิลเลี่ยมส์ น.76), โจ โกเมซ (อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน น.46), เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม (นาบี เกอิต้า น.62) - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ (ดิว็อค โอริกี้ น.62), ซาดิโอ มาเน่ (ทาคูมิ มินามิโนะ น.85)
หมายความว่าอย่างไร…
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บเพิ่ม 3 คะแนนและมีอันดับห่างจากเลสเตอร์ ซิตี้ อยู่ถึง 11 คะแนน และห่างจากจ่าฝูงลิเวอร์พูลอยู่ 20 คะแนน
โปรแกรมนัดถัดไป?
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะบุกไปเยือนเซนต์แมรี่ สเตเดียม ของเซาแธมป์ตัน
โดยจะเตะกันในเวลา 01.00 น. ถ่ายทอดสดทาง BBC 1.