แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกไปถล่มเอาชนะแชมป์เก่าอย่างลิเวอร์พูลได้ถึงถิ่นแอนฟิลด์ 4-1 อิลคาย กุนโดกัน เหมาคนเดียว 2 ประตู

แม้เจ้าตัวจะพลาดจุดโทษในครึ่งเวลาแรก แต่ก็มาแก้ตัวได้สำเร็จ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง โขกจ่อๆ และฟิล โฟเดน ซัดด้วยซ้ายทะลวงไส้เข้าประตูไปชนิด ตาข่ายแทบขาด!

เป็นชัยชนะนัดที่ 14 ติดต่อกัน และไม่แพ้ใครมา 21 นัด รวมทุกรายการ นับเป็นอีกหนึ่งแมตซ์ที่มีความหมาย และน่าประทับใจที่สุดอีกครั้งของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

เกิดอะไรขึ้นบ้าง?

“บิ๊กแมตช์” พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำวันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นการพบกันระหว่างแชมป์เก่า ลิเวอร์พูล ซึ่งรั้งอันดับ 4 เปิดแอนฟิลด์รับมือจ่าฝูง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยนัดแรกเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เสมอกันมา 1-1 ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม

เริ่มเกมมาในช่วง 20 นาทีแรก เล่นกันสูสีค่อนข้างทันกัน ทั้งสองทีมเพรสกันหนัก กระนั้นแม้ว่า “เรือใบสีฟ้า” จะครองเกมได้มากกว่า แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเจาะเข้าไปในพื้นที่อันตราย เช่นเดียวกับหงส์แดง

โอกาสแรกของ ลิเวอร์พูล ต้องรอถึงนาที 25 หลัง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โยกหลอกแนวรับซิตี้ก่อนครอสมาให้ ซาดิโอ มาเน่ วิ่งมาโขกไม่ถึงเส้น 6 หลา บอลพุ่งกลางประตูเหินคานออกไป

นาที 29 “หงส์แดง” เริ่มโจมตีได้เรื่อยๆ และเกือบได้ลุ้นขึ้นนำหลัง เฮนเดอร์สัน ตักเข้าไปในกรอบโดน รูเบน ดิอ๊าซ โขกทิ้งมาเข้าทางปืน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ วิ่งมาวอลเลย์ไม่จับบอลพุ่งจะหมุดแรงจน เอแดร์ซอน ต้องปัดข้ามคานออกไป

จนมาในนาทีที่ 36 แมนฯซิตี้ มาได้ลูกที่จุดโทษหลัง ฟาบินโญ่ ยื่นขาหลังไปขวางการเล่นของ ราฮีม สเตอร์ลิง จนล้มลง ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ เป่าให้จุดโทษแก่ทีมเยือนทันที ทว่า อิลคาย กุนโดกัน ที่รับหน้าที่สังหารดันยิงด้วยขวาเหินคานออกไปอย่างน่าผิดหวัง ทำให้สกอร์ยังเสมอกัน 0-0 เหมือนเดิม

นาที 43 ซาดิโอ มาเน่ โดนชูเอา กานเซโล่ ฟาวล์นอกกรอบผู้ตัดสินเป่าให้ฟาวล์ย้อนหลัง ก่อนที่ ติอาโก้ จะปั่นระยะไม่ถึง 18 หลาบอลไปแฉลบกำแพงออกหลัง และจากลูกเตะมุม เทรนท์ เปิดมาเข้าหัว ซาดิโอ มาเน่ แต่โขกไปตรงตัว เอแดร์ซอน รับเข้าซองไว้ได้

จบครึ่งแรก ยังทำอะไรกันไม่ได้ ลิเวอร์พูล ยังเสมอกับ แมนฯซิตี้ 0-0

ครึ่งหลัง เริ่มมาแค่นาที 49 กลายเป็น แมนฯซิตี้ มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากความยอดเยี่ยมของ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่เลื้อยผ่าน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก่อนปาดเข้ากลางให้ ฟิล โฟเด้น ซัดไปติดมือ อลีสซง แต่ปัดไปเข้าทาง กุนโดกัน ตามมาซ้ำเสยตาข่ายเข้าไปไม่เหลือ แก้ตัวได้สำเร็จหลังพลาดจุดโทษในครึ่งแรก

มาในนาที 55 ฟีร์มีโน่ พาบอลขึ้นมาก่อนป้ายออกขวาให้ เคอร์ติส โจนส์ ดึงบอลหนีแล้วอัดด้วยขวานอกกรอบแต่บอลพุ่งข้ามคานออกไปแบบหมดลุ้น

อีกสองนาทีถัดมา โจนส์ ได้โอกาสอีกครั้งหลังรับบอลจ่ายยาวของ เทรนท์ ก่อนปั่นไปเสาไกลบอลไปแฉลบแนวรับซิตี้ออกหลัง

นาที 62 ลิเวอร์พูล มาได้จุดโทษคืนบ้างหลัง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะหลุดเดี่ยวเข้าไปก่อนโดน รูเบน ดิอ๊าซ ดึงล้มลงในเขตโทษ ผุ้ตัดสินเป่าให้จุดโทษ ก่อนที่ ซาลาห์ จะลุกขึ้นมาสังหารยิงเข้าไปไม่พลาดให้ “หงส์แดง” ไล่ตีเสมอ ซิตี้ 1-1 และเป็นประตูที่ 16 นำดาวซัลโวของลีกในซีซั่นนี้

ถัดมานาที 71 ฟิล โฟเด้น เปิดยาวไปหน้าประตู จอห์น สโตนส์ ล้มตัวยิงผ่านมืออลีสซงเข้าไปแล้ว แต่ผู้ตัดสินไม่ให้ประตูเนื่องจากเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน ซึ่งวีเออาร์ก็ยืนยืนว่าเป็นล้ำหน้า

เกมบุกยังคงเป็นของผู้มาเยือนอย่างซิตี้ นาที 73 “เรือใบสีฟ้า” มาแซงขึ้นนำ 2-1 อีกครั้ง จากความผิดพลาดของ อลีสซง ที่เปิดไม่ดีไปติด ฟิล โฟเด้น ลากเลื้อยหนีแนวรับจนถึงเส้นหลังก่อนปาดมาหน้าประตูให้ อิลคาย กุนโดกัน ยิงเข้าไปง่ายไม่ถึงสองหลา

WATCH: Liverpool 1-4 City: Short highlights

อีกครั้งจากในนาทีที่ 77 อลีสซง เบ็คเกอร์ เหมือนหมดความมั่นใจ มาพลาดง่ายๆอีกลูกหลังจ่ายจากหน้าปากประตูไปให้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ก่อนที่ปีกชาวโปรตุกีสจะยกมาเสาไกลให้ ราฮีม สเตอร์ลิง โขกเข้าไปง่ายๆ ให้ แมนฯซิตี้ นำห่าง 3-1

เข้าสู่ช่วงนาทีที่ 83 หงส์แดง มาเสียเม็ดที่สี่ต่อเนื่องหลังบอลจาก กาเบรียล เชซุส วางไปทางขวาให้ ฟิล โฟเด้น ลากเข้ามาซัดแสกหน้าอลีสซงเข้าไปอย่างเฉียบขาดให้ เรือใบสีฟ้า บุกมานำขาด 4-1

จบเกม ลิเวอร์พูล แพ้คาบ้านให้ แมนฯซิตี้ ขาดลอย 1-4 เป็นการแพ้คาแอนฟิลด์ 3 นัดติด ส่งให้ แมนฯซิตี้นำจ่าฝูงต่อไป โดยทิ้งอันดับ 2 “ผีแดง” 5 คะแนน และทิ้งแชมป์เก่า “หงส์แดง” ที่รั้งอันดับ 4 ไปไกลถึง 10 คะแนนแล้ว แถมมีเกมในมืออยู่อีกหนึ่งนัด

แข้งเด่นประจำแมตซ์

วันนี้ยอดเยี่ยมกันทุกคนไม่ว่าจะเป็น กุนโดกัน,สเตอร์ลิ่ง,แบร์นาร์โด้ และที่ขาดไม่ได้คือฟิล โฟเดน กับประตูอันน่าอัศจรรย์ของเขา

สุดยอดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!

ไลน์-อัพ

แมนฯซิตี้ : เอแดร์ซอน โมราเอส - เจา กันเซโล่, จอห์น สโตนส์, รูเบน ดิอาส, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ - แบร์นาร์โด้ ซิลวา, โรดริโก้, อิลคาย กุนโดกัน - ริยาด มาห์เรซ (กาเบรียล เฆซุส น.72), ราฮีม สเตอร์ลิง, ฟิล โฟเดน

สำรอง: สเตฟเฟ่น, ลาปอร์กต์ตอร์เรสเมนดี้แฟร์นันดินโญ่การ์เซีย, ดอยล์, เบอร์นาเบ้

ลิเวอร์พูล : อลีสซง เบ็คเกอร์ - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (คอสแตนตินอส ซิมิคาส น.85) - เคอร์ติส โจนส์ (เจมส์ มิลเนอร์ น.68), ติอาโก้ อัลคันทาร่า (เซอร์ดาน ชากิรี่ น.68), จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรเบอร์โต้ ฟิร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่ 

สำรอง: อาเดรียน, อ๊อกเลด-แชมเบอร์เลน, คาบัค, ชิมิคาส, โอริกี้, ฟิลลิปส์, เนโก้ วิลเลี่ยมส์

สถิติจากเกม

แมนฯซิตี้ ชนะติดกันรวด 10 นัดในพรีเมียร์ลีก

เราไม่แพ้ใครมาแล้ว 21 นัด รวมทุกรายการ (เสียไปเพียง 5 ประตู) นับตั้งแต่แพ้ครั้งสุดท้ายให้กับสเปอร์ส เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน

ตอนนี้เราชนะมา 14 เกมติดต่อกัน รวมทุกรายการ (เสียเพียง 4 ประตู) และอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ทั้งหมด 4 รายการ

ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กลายเป็นผู้เล่นคนที่ 3 ที่ยิงประตูเกิน 100 ประตู รวมทุกรายการ นับตั้งแต่เป๊ป กวาดิโอล่า มาคุมทีม ตามหลัง ลีโอเนล เมสซี่ (211 ประตู) และเซอร์กิโอ อเกวโร่ (120 ประตู)

และนี่เป็นชัยชนะครั้งแรกของเราที่แอนฟิลด์ นับตั้งแต่ปี 2003 

หลังเกมจากบอส

“สิ่งที่สำคัญคือ 3 คะแนน - แน่นอนผมภูมิใจมากกับผู้ที่ทำลายสถิติที่ยืนหยัดมาอย่างยาวนาน นั่นแสดงให้เห็นว่ามันยากแค่ไหน และหวังว่าครั้งหน้าเราจะสามารถทำผลงานแบบนี้ได้อีก”

“แอนฟิลด์ที่ไม่มีแฟนบอลช่างแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะผมรู้สึกได้เลยว่าถ้าเราอยู่ที่สกอร์ 1-1 อิทธิพล และสถานการณ์หากว่าที่นี่มีแฟนบอล ทุกอย่างจะแตกต่างกันไปอย่างไรกับผู้เล่นของพวกเขา” 

“ แต่เราต่อสู้กันได้ดี ไม่มีใครถอยหลัง ทุกคนก้าวไปข้างหน้าด้วยสปิริตที่ยิ่งใหญ่ ราฮีม สเตอร์ลิง มีฟอร์มที่น่าทึ่งเหมือนฤดูกาลที่แล้ว และเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม”

“ความมุ่งมั่นจากทุกคนบนอัฒจันทร์ที่ไม่ได้ลงเล่นด้วย พวกเขาสนับสนุนเพื่อนร่วมทีมของพวกเขา 3 คะแนนนี้ ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับชัยชนะครั้งนี้ แต่พรุ่งนี้เมื่อเรากลับไปถึง เราจะคิดถึงเกมกับสวอนซีต่อไป”


หมายความว่าอย่างไร...

แมนฯซิตี้ นำโด่งที่ตำแหน่งจ่าฝูงด้วย 5 คะแนน ห่างจากทีมอันดับที่ 2 อย่างยูไนเต็ด

อีกทั้งเรายังนำห่างลิเวอร์พูลแชมป์เก่าอยู่ถึง 10 คะแนน

โปรแกรมถัดไป

เรามีภารกิจฝ่าฟันกลับไปสู่เวมบลีย์อีกครั้ง ในวันพุธนี้ กับการออกไปเยือนสวอนซีในเอฟเอคัพ รอบที่ 5 เริ่มเตะเวลา 00.30 น.

จากนั้นจะกลับมาเตะพรีเมียร์ลีกกับสเปอร์ส ในวันเสาร์หน้า 00.30 น. เช่นกัน

News about Liverpool v Man City

สโตนส์: ถ้วยแชมป์คือเป้าหมายของเรา

จอห์น สโตนส์มีเป้าหมายว่าอยากที่จะนำถ้วยพรีเมียร์ลีก กลับมาสู่แมนเชสเตอร์อีกครั้ง Watch more

ไฮไลท์เต็ม: ลิเวอร์พูล 1-4 ซิตี้

รับชมไฮไลท์ สิ่งที่เกิดขึ้นจากเกมเมื่อคืนที่ ที่แอนฟิลด์ Watch more

ไฮไลท์: ฟิล โฟเด้น vs ลิเวอร์พูล

ย้อมชมฟอร์มเจ้าหนู “ฟิล” ณ ถิ่นแอนฟิลด์ Watch more

"เราไปแอนฟิลด์เพื่อหวังชัยชนะ" กล่าวโดย เป๊ป กวาดิโอล่า

เป๊ป กวาดิโอล่ากล่าวว่าทัพซิตี้เดินทางไปเยือนแอนฟิลด์หวังเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือชัยชนะ Read more

ไฮไลท์ประตู: ลิเวอร์พูล 1-4 ซิตี้

รับชมไฮไลท์การทำประตูจากเกมเมื่อค่ำคืนนี้ ที่เราบุกไปเอาชนะที่แอลฟิลด์ Watch more