แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำสำเร็จ! คว่ำแชมป์ 13 สมัยอย่างเรอัล มาดริด ลงได้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ทำประตูที่ 100 ของตัวเองให้กับแมนฯซิตี้ ได้สำเร็จ
คาริม เบนเซม่า โหม่งตีเสมอให้กับเรอัล มาดริด แต่สุดท้ายเป็นกาเบรียล เฆซุส ที่ซัดประตูตอกฝาโลง ส่งเรือใบสีฟ้าเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย UCL ได้สำเร็จ
เกิดอะไรขึ้นบ้าง?
ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดสอง เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา เจ้าบ้าน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รับการมาเยือนของ เรอัล มาดริด อดีตแชมป์รายการนี้ 13 สมัย โดยเกมแรกที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ก่อนพักเบรคโควิด-19 เป็น "เรือใบสีฟ้า" ที่บุกไปคว้าชัยถึงสเปนมาได้ 2-1
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ของเรือใบเกมนี้ส่งสามประสานแนวรุกเป็น ราฮีม สเตอร์ลิง, กาเบรียล เชซุส และฟิล โฟเด้น ขณะที่ ซีเนดีน ซีดาน เกมนี้ขาด เซร์คิโอ รามอส กัปตันทีมเซ็นเตอร์แบ็กที่ติดโทษแบน ส่วนแนวรุกวาง เอแด็น อาซาร์, คาริม เบนเซม่า และโรดรีโก้
เริ่มเกมมาได้แค่ 7 นาที เจ้าถิ่น "เรือใบ" ได้ทักทายก่อนเลย หลัง เควิน เดอ บรอยน์ตะบันด้วยขวาเต็มแรงบอลพุ่งเข้ากรอบไปแฉลบ เอแดร์ มิลิเตา ออกหลังได้เตะมุม
นาที 9 ลูกทีมของ "เป๊ป" มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากความผิดพลาดของแนวรับ ราฟาแอล วาราน แนวรับของ เรอัล มาดริด ที่เล่นพลาดโดน กาเบรียล เชซุส เบียดแย่งบอลในกรอบเขตโทษก่อนจะปาดให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ยิงโล่งๆเข้าไปไม่พลาด สกอร์รวมสองนัด แมนฯซิตี้ นำห่าง 3-1
นาที 21 ราชันชุดขาว เกือบไล่ตีเสมอได้สำเร็จ หลัง อาซาร์ แทงบอลเข้ากลางให้ คาริม เบนเซม่า พลิกบอลกดด้วยขวาเน้นๆแต่บอลยังไปโดน เอแดร์ซอน พุ่งปัดออกหลังหวุดหวิด
จากนั้นไม่ถึงนาที อาซาร์ ได้ลองกดด้วยซ้ายจากนอกกรอบบ้างแต่บอลพุ่งเลียดไม่ห่างมือนายด่านเจ้าถิ่นที่ล้มรับไว้ได้อีก
นาที 28 เรอัล มาดริด ไล่ตีเสมอ 1-1 ได้สำเร็จ จากจังหวะที่ คาริม เบนเซม่า แทงบอลออกขวาให้ โรดรีโก้ หลบแข้งเจ้าถิ่นถึงเส้นหลังก่อนครอสมาให้ เบนเซม่า ที่วิ่งไปจุดนัดพบเทกตัวโขกลงพื้นเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างเฉียบขาด สกอร์รวม2นัด "ชุดขาว" ไล่มาเป็น 2-3
จบครึ่งแรก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสมอกับ เรอัล มาดริด 1-1 (สกอร์รวม 2 นัด แมนฯซิตี้ นำ 3-2)
กลับมาบู๊กันต่อในครึ่งหลัง แค่นาที 47 เจ้าบ้านได้เสียวทันทีหลัง เดอ บรอยน์ ไหลออกให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ก่อนกดด้วยซ้ายไปติดบล็อคออกหลัง นาที 57 โอกาสของเจ้าบ้านมาอีก เดอ บรอยน์ ได้บอลหลุดเข้าไปก่อนล็อคหนี มิลิเตา ได้แล้วแต่จังหวะซัดด้วยขวาไปติด ดานี่ การ์บาฆาล ที่ตามมาบล็อคได้ทัน
นาที 68 เจ้าถิ่นมาแซงได้ประตูขึ้นนำ 2-1 จนได้ และเป็นความผิดพลาดของ ราฟาแอล วาราน อีกครั้ง คราวนี้พยายามโหม่งบอลคืนหลังให้ ติโบต์ กูร์กตัวส์ แต่บอลเบาไปจน กาเบรียล เชซุส วิ่งตามไปซ้ายด้วยซ้ายมุมแคบผ่านตัว กูร์กตัวส์ เข้าไปทำให้สกอร์รวมสองนัด นำห่าง 4-2
จากนั้น นาที 86 เดอ บรอยน์ เรียกฟรีคิกให้ทีมได้ลุ้นระยะกว่า 23 หลา ก่อนที่ ดาบิด ซิลบา ตัวสำรองจะปั่นบอลด้วยซ้ายข้ามกำแพงหลุดกรอบออกไปหวุดหวิด
ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะเรอัล มาดริด 2-1 ประตูรวมสองนัดผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยประตูรวม 4-2 ซึ่งจะเข้าไปพบกับ โอลิมปิก ลียง ที่ผ่าน "ม้าลาย" ยูเวนตุส เข้ามา
โดยในรอบก่อนรองชนะเลิศ จะจัดแบบมินิทัวร์นาเมนท์ รู้ผลในนัดเดียว โดยจะเล่นที่ประเทศโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 12-23 สิงหาคม นี้
ฟอร์มอันสุดแจ่มของสเตอร์ลิ่ง
กับการฉลองประตูที่ 100 ให้กับซิตี้ โดยราฮีม เป็นแข้งอังกฤษคนที่ 3 ต่อจากอเกวโร่ และเดนนิส เทวอาร์ต ที่เคยทำได้เมื่อ 39 ปีที่แล้ว
อีกทั้งยังเป็นแข้งอังกฤษคนที่ 6 ที่ยิงประตูใน UCL ได้ถึง 20 ประตู หลังจากล่าสุดมีเวย์น รูนีย์ ที่เคยทำได้เร็วที่สุด
และยังเป็นประตูที่ 31 รวมทุกรายการในซีซั่นนี้อีกด้วย!
9. RAHEEEEEEEMMMMMMMMMMMMM
— Manchester City (@ManCity) August 7, 2020
🔵 1-0 ⚪️ (3-1) #ManCity | https://t.co/axa0klD5re pic.twitter.com/wxnHzeuUcb
วิ่ง สู้ ฟัด แบบเฆซุส
กาเบรียล เฆซุส เป็นอีกหนึ่งตัวแปลสำคัญในเกมกับมาดริดทั้งสองเลก
ในเกมแรกนอกจากจะทำประตูตีเสมอที่เบอนาบิวได้แล้ว เฆซุสยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้เซร์ฆิโอ รามอส ถูกไล่ออกจากสนาม ในจังหวะที่กองหลังเลือดกระทิงดุเข้ามาสกัดเฆซุส ไม่ให้ยิงประตูที่ 3 กับมาดริด
แถมวันนี้เขายังเป็นทุกอย่างของทีมอีกในเลกที่สอง จังหวะแรก เจ้าตัวเป็นคนเข้าไปปั๊มบอลแย่งมาจากราฟาเอล วาราน และแอสซสิต์ให้กับ สเตอร์ลิ่ง
และประตูชัย 21 ก็เป็นเจ้าตัวที่ตามไปบี้ใส่วารานอีกครั้ง จนจ่ายบอลผิดน้ำหนัก และฉกจังหวะยิงได้ในที่สุด
หมายความว่าอย่างไร
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผ่านเช้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศต่อไป ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
โปรแกรมต่อไป
ซิตี้จะเจอกับลียงในวันเสาร์หน้า
ไลน์อัพ:
แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส - ไคล์ วอล์คเกอร์, แฟร์นันดินโญ่, เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์, ชูเอา กานเซโล่ - เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี้ (นิโกลัส โอตาเมนดี้ น.89), อิลคาย กุนโดอัน - ฟิล โฟเด้น (แบร์นาร์โด้ ซิลวา น.67), กาเบรียล เชซุส, ราฮีม สเตอร์ลิง (ดาบิด ซิลบา น.81)
เรอัล มาดริด (4-3-1-2) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ - ดานี่ การ์บาฆาล (ลูคัส บาซเกซ น.83), เอแดร์ มิลิเตา, ราฟาแอล วาราน, แฟร์กล็องด์ เมนดี้ - ลูก้า โมดริช (เฟเด้ บัลเบร์เด้ น.83), กาเซมิโร่, โทนี่ โครส - โรดรีโก้ (มาร์โค อเซนซิโอ น.61), คาริม เบนเซม่า, เอแด็น อาซาร์ (ลูก้า โยวิช น.83)